วันที่ 2 มีนาคม 2565 มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานครบรอบ “53 ปี วันพระราชทานนาม และ 134 ปี มหาวิทยาลัยมหิดล” โดยมี ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้บริหารส่วนงาน และผู้เเทนส่วนงาน ร่วมในพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระรูปสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
จากนั้น เป็นพิธีบําเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมราชชนก และพิธีเปิดนิทรรศการครบรอบ 53 ปีวันพระราชทานนาม และ 134 ปี มหาวิทยาลัยมหิดล : จากอดีตมุ่งสู่อนาคต
ในโอกาสนี้ ได้จัดแสดงปาฐกถาเกียรติยศ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ชัชวาล โอสถานนท์ ครั้งที่ 12 เรื่อง “การปฏิรูป อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไทย : ไม่มีวันหยุดยั้ง” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยได้กล่าวถึง การปฏิรูป อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไทย ว่า
การปฏิรูปประการที่ 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สามารถให้ทุนกับเอกชนในการทำวิจัย และสามารถทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติต่อไป
การปฏิรูปประการที่ 2 ตั้งกองทุนการพัฒนาเพื่อการอุดมศึกษา ควบคู่กับกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ในการส่งเสริมการทำวิจัย พัฒนาหลักสูตร เพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนาของประเทศ
การปฏิรูปประการที่ 3 มีการแบ่งมหาวิทยาลัยเป็น 5 ประเภท ได้แก่ มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นเรื่องการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยที่ทำเรื่องศาสนา คุณธรรม จริยธรรม และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีความเป็นเลิศที่แตกต่างกัน
การปฏิรูปประการที่ 4 การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ โดยวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ ผ่านงานวิจัยและตำรา นำผลงานที่ดำเนินการนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้ององเขียนตำรา หรือวิจัย แต่นำผลงาน นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ผลงานทางศาสนา มาขอตำแหน่งทางวิชาการได้
การปฏิรูปประการที่ 5 ลดข้อจำกัดเรื่องเวลาของการเรียน การเรียนไม่จบเพราะเรียนเกินเวลา ยกเลิกการการพ้นสภาพนักศึกษาจากเหตุผลที่เรียนเกินเวลาที่กำหนด
การปฏิรูปประการที่ 6 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างสถาบันการศึกษา 25 แห่งในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก สามารถเรียนข้ามมหาวิทยาลัยได้
การปฏิรูปประการที่ 7 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กำลังหารือถึงมาตรการแก้ไขให้มีการกู้เงินเรียนในสาขาที่ประเทศต้องการ อาจไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้น หรืออาจจะคืนเงินต้นแต่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
การปฏิรูปประการที่ 8 แซนด์บ็อกซ์อุดมศึกษา การยกเว้นกติกาต่าง ๆ การจัดการศึกษาที่แตกต่างออกไปจากมาตรฐานการอุดมศึกษา และเป็นมิติใหม่ของการจัดทำหลักสูตรเพื่อตอบโจทย์มาตรฐานของการพัฒนากำลังคนอย่างเร่งด่วน
การปฏิรูปประการที่ 9 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีการจัดตั้งวิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ หรือธัชชา เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และมีการดำเนินการจัดตั้ง ธัชวิทย์ ทำหน้าที่เป็น Excellent center ทางวิทยาศาสตร์ รวบรวมคนเก่ง ข้ามมหาวิทยาลัย ข้ามหน่วยงานต่าง ๆ ให้มาอยู่รวมกัน
การปฏิรูปประการที่ 10 มีการออกพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งพระราชบัญญัตินี้ งานวิจัยจะเป็นของผู้ขอทุนวิจัย งานวิจัยจะไม่ได้เป็นของผู้ให้ทุนเหมือนเช่นก่อน
ต่อจากนั้น เป็นพิธีมอบรางวัล โดยมี พลตำรวจเอก นายแพทย์จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลต่าง ๆ ได้แก่
– รางวัล “มหิดลทยากร”
– รางวัล “คนดีศรีมหิดล”
– รางวัล “อาจารย์ตัวอย่างจากสภาคณาจารย์”
– รางวัล The Giver Award
– รางวัล “ผลงานการประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรฯ”
– รางวัล “ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานมหาวิทยาลัยดีเด่น ประจำปี 2564”