วันที่ 15 มีนาคม 2565 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย นายประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ เจ้าหน้าที่บริหารงานสื่อสาธารณะและเจ้าหน้าที่วิจัยด้านการพิเคราะห์เหตุการณ์ตายในเด็ก และทีมพิเคราะห์การตายในเด็ก ร่วมการแถลงข่าวในประเด็น “เด็กจมน้ำตายเพราะพ่อแม่คลาดสายตา” โดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการจมน้ำของเด็กได้ ผ่านกระบวนการพิเคราะห์การตายในเด็กและกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริง ณ ห้องสตูดิโอ 1308 ชั้น 3 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ กล่าวว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ปี 2546 มาตรา 25 วงเล็บ 2 ได้กำหนดไม่ให้ผู้ปกครองละทิ้งเด็กไว้ ณ สถานที่ใดๆ โดยไม่จัดให้มีการป้องกันดูแล สวัสดิภาพหรือให้การเลี้ยงดูที่เหมาะสมนั้น อย่างไรก็ตามสถิติการตายจากการจมน้ำในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการการดูแลจากผู้ปกครองแบบไม่ให้คลาดสายตา ยังคงเกิดขึ้น 200 กว่ารายต่อปี เหตุการณ์เหล่านี้ คือความไม่รู้ของผู้ดูแล หรือความประมาท รู้ว่าอันตรายแล้วไม่ปฏิบัติการป้องกัน หรือคือความจงใจละเลย ที่ควรจะนำไปสู่ความสงสารหรือการดำเนินคดี
แม้ว่าในขณะนี้ “ตัวเลขการจมน้ำตายของเด็กไทย”จะลดลงเหลือเฉลี่ย 700 คนต่อปี (จาก 1,600 คนต่อปี เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา) แต่จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขและงานพิเคราะห์เหตุการณ์ตาย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ยังคงพบว่า “การจมน้ำ”ยังคงเป็นสาเหตุอับดับ1 แห่งการเสียชีวิตของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 10 ปี โดยเฉพาะเด็กวัยไม่เกิน 5 ขวบ ที่จมน้ำเสียชีวิตถึงปีละ 200 กว่าคนนั้น สาเหตุใหญ่ที่สุดก็คือ พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กเพียงแค่เผอเรอและ “คลาดสายตา” และในบางรายซ่อนเร้นด้วยความจงใจละเลยอันเป็นเหตุให้เสียชีวิต สิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กจะต้องจำไว้ให้ขึ้นใจก็คือ เด็กวัยไม่เกิน 3 ขวบต้องอยู่ในสายตาและอยู่ในระยะที่ผู้ใหญ่ต้อง “คว้าถึง” (อย่างรวดเร็ว) เด็กวัย 3-6 ขวบ ต้องอยู่ในสายตาและอยู่ในระยะที่ผู้ใหญ่ต้อง “เข้าถึง” (อย่างรวดเร็ว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กวัยไม่เกิน 3 ขวบ ด้วยการทรงตัวของเด็กน้อยยังไม่สมบูรณ์เพียงพ่อแม่เผอเรอ เผลอหลับหรือแค่คลาดสายตาไม่กี่นาที เด็กก็พลั้งตกน้ำเสียชีวิตได้อย่างไม่คาดฝัน
ด้วยความหวังว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งชุมชน ครอบครัว และสื่อมวลชน สื่อสารสาธารณะ จะยังคงตระหนักถึงปัญหาสำคัญนี้ และผนึกพลังเพื่อดำเนินมาตรการป้องกันร่วมกันอย่างต่อเนื่อง นั่นรวมทั้งการรณรงค์ และสื่อสารความเสี่ยงต่างๆ การจัดการฝึกอบรมให้ความรู้และฝึกทักษะการเลี้ยงดูเด็กอย่างปลอดภัยแก่ผู้ดูแลเด็กทุกระดับ การติดตามเยี่ยมบ้านเพื่อประเมินทักษะการเลี้ยงดูและการจัดการความปลอดภัยให้กับเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่วัยทีน ครอบครัวยากจน ครอบครัวที่มีความบกพร่อง (family dysfunction) ได้แก่ครอบครัวแตกแยก หย่าร้าง ล้มหายตายจาก ติดคุก ติดยา มีความรุนแรง มีปัญหาสุขภาพจิต เป็นต้น ซึ่งครอบครัวเปราะบางอาจเกิดขึ้นได้ในทุกเศรษฐานะ และการจมน้ำของเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ในครอบครัวเหล่านี้มักแฝงเร้นด้วยเหตุจงใจละเลย ทอดทิ้งเด็กไว้กับอันตรายที่อยู่ต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่เพียงเพราะไม่มีความรู้เท่านั้น
เป้าหมายการลดอัตราการตายจากการจมน้ำในเด็กต่ำกว่า 15 ปี ที่กำหนดไว้ว่าต้องลดเหตุจมน้ำเสียชีวิตให้เหลือ 2 ต่อ 1 แสน ของประชากรเด็กทุกกลุ่มอายุ ทำให้เป้าหมายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีต้องลดให้ไม่เกิน 60-70 คนต่อปีจาก 200 กว่าคน ในปัจจุบัน จะยังคงไม่สามารถบรรลุผลได้ในปี 2565 และอาจยังไม่บรรลุในปีต่อ ๆ ไป หากมาตรการป้องกันการจมน้ำในเด็กเล็กไม่มุ่งเป้าอย่างเข้มข้นในการค้นหาครอบครัวไม่พร้อมขาดศักยภาพในการเลี้ยงดูเด็ก ดังนั้นมาตรการป้องกันการจมน้ำในเด็กเล็กจึงต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดสวัสดิการส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี และการแก้ไข พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กเพิ่มความเข้มแข็งของงานการคุ้มครองเด็กระดับชุมชน ให้เป็นรูปธรรมส่งผลต่อการแทรกแซงการเลี้ยงดูเด็กโดยเจ้าหน้าที่ระดับชุมชน และท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น