สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล จัดงานแถลงข่าวในประเด็น “120 วัน บังคับใช้กฎหมาย ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ใครต้องทำอะไร ?”

โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ ร่วมกับศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล จัดประชุมเครือข่ายความร่วมมือดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดนครสวรรค์
May 9, 2022
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล จัดประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2565 ในหัวข้อ “สร้างสรรค์การเรียนรู้และสุขภาพบนฐานธรรมชาติ Nature–Based Education & Health Promotion”
May 10, 2022

สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล จัดงานแถลงข่าวในประเด็น “120 วัน บังคับใช้กฎหมาย ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ใครต้องทำอะไร ?”

วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และหัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ร่วมการแถลงข่าวในประเด็น “120 วัน บังคับใช้กฎหมาย ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ใครต้องทำอะไร ?” โดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักในมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้แก่เด็กขณะโดยสารรถยนต์ โดยการใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กในการโดยสารรถยนต์ (child seat) เพื่อลดการบาดเจ็บ การตาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ กล่าวว่า เด็กที่ตายจากอุบัติเหตุจราจรทั้งหมด พบว่าร้อยละ 20.5 มีสาเหตุจากการโดยสารรถยนต์ทุกประเภท ซึ่งรวมถึงรถปิคอัพ รถเก๋ง รถสองแถว รถตู้ รถโดยสาร ฯลฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 35 ของการตาย เฉพาะกลุ่มผู้โดยสาร ในปี 2559 พบการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จากอุบัติเหตุจราจรทั้งหมดคิดเป็น 704 ราย เป็นอุบัติเหตุจากรถยนต์ทุกประเภทรวม 120 ราย ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของผู้โดยสารรถยนต์เกิดจากผู้โดยสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับ ความเร็วของรถยนต์ เมื่อเกิดการชนกระแทกความเร็วของรถยนต์ลดลงอย่างกะทันหันแต่ผู้โดยสารยังเคลื่อนที่ต่อภายในรถยนต์ ทำให้ชนกระแทกกับโครงสร้างภายในรถยนต์หรือกระเด็นออกนอกรถ ดังนั้น การยึดเหนี่ยวผู้โดยสารไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ต่อเมื่อรถยนต์ถูกหยุดยั้งให้ลดความเร็วลงกะทันหัน จึงเป็นหลักการที่สำคัญในการสร้างความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในรถยนต์ ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กในการโดยสารรถยนต์ (child seat) นับได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ส่งผลในการลด การตายของเด็กจากการเดินทางด้วยรถยนต์อย่างมาก ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และยุโรปตะวันตก มีคำแนะนำและกฎหมายบังคับใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กมานานหลายปีแล้ว

ซึ่งการใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ต้องใช้ให้เหมาะสมกับอายุและขนาดของเด็ก วิธีการเลือกชนิดของที่ นั่งนิรภัย และวิธีการใช้ที่สำคัญ ดังนี้

1.ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีต้องใช้บนที่นั่งด้านหลังและหันหน้าไปทางด้านหลัง เท่านั้น
2.การใช้ถุงลมนิรภัยอาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่เด็กที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ ผู้โดยสารจะได้รับความ ปลอดภัยเสริมจากถุงลมต่อเมื่อนั่งห่างถุงลมอย่างน้อย 25 เซนติเมตร เท่านั้น หากนั่งใกล้กว่านี้จะเกิดอันตรายจากการกระแทกของถุงลมเอง
3.ในรถยนต์ที่มีที่นั่งตอนหลังควรจัดให้เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปีนั่งที่นั่งตอนหลังเท่านั้น การนั่งเบาะที่ นั่งตอนหลังจะลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุลงได้ถึง 5 เท่า
4.เด็กอายุ 2-6 ปี ใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็กที่มีที่ยึดเหนี่ยวในตัว นั่งหันหน้าไปด้านหน้า (forward facing seat) ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กวัยนี้ยังคงมีสายรัดตัวเป็นแบบยึดเหนี่ยวร่างกายเด็กไว้ 5 จุด
5.เด็กอายุ 4-11 ปี ให้ใช้ที่นั่งที่นั่งเสริม (booster seat ควรใช้ที่นั่งเสริม (booster seat) จนกว่า สามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้พอดี โดยทั่วไปควรจะต้องมีอายุ 9 ปีหรือมากกว่า การใช้เข็มขัดนิรภัย ในตำแหน่งไม่เหมาะสมก่อให้เกิดผลเสียเรียกว่าโรคของเข็มขัดนิรภัย (safety belt syndrome) ซึ่งประกอบด้วย การบาดเจ็บในช่องท้อง ไขสันหลัง ลำคอและใบหน้า ในกรณีรถปิกอัพ ห้ามมิให้มีผู้โดยสารในกะบะหลัง โดยเพาะอย่างยิ่งเด็กโดยเด็ดขาด ผู้โดยสารในกะบะ หลังมีความเสี่ยงมากกว่าผู้นั่งในรถ 8 เท่าตัว เด็กที่นั่งในรถปิกอัพต้องใช้ที่นั่งนิรภัยเหมือนกัน แต่หากที่นั่ง ตอนหลังมีความกว้างไม่เพียงพอที่จะวางที่นั่งนิรภัยได้ ให้วางที่นั่งนิรภัยกับที่นั่งตอนหน้าและต้องไม่มีถุง ลมข้างคนขับ

โดยระยะเวลา 120 วัน ก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงเวลาที่ประชาชนต้องเตรียมตัว แต่เป็นเวลาที่รัฐ ชุมชน องค์กร บริษัท หน่วยงานบริการสุขภาพเด็ก หน่วยงานบริการการศึกษาเด็ก ปฐมวัย ต้องเตรียมตัว ต้องมีมาตรการช่วยเหลือการเข้าถึงที่นั่งนิรภัย มาตรการให้ความรู้ประชาชน มาตรการสนับสนุนการซื้อ เช่น คนละครึ่ง ตั๋วคืนเงิน มาตรการลดต้นทุนผู้ขาย เช่น ลดภาษีการนำเข้า มาตรการสนับสนุนให้มีการผลิตในประเทศ หรือจัดตั้งโครงการครอบครัวปลอดภัยเมื่อใช้รถ มีการสนับสนุนที่นั่งนิรภัยเพื่อการยืมใช้ โดยภาครัฐ หรือเอกชนเป็นผู้ลงทุนให้ ฯลฯ เพื่อเป็นการรณรงค์ และช่วยเหลือให้ประชาชนได้เข้าถึงที่นั่งนิรภัยอย่างทั่วถึง