วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในการใช้งานระบบ e-Office ภายใต้งานบริการคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัลและลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศทางด้านสุขภาพและการศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้บริการคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC Cloud) ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการยกระดับระบบบริหารจัดการภายในองค์กร และขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับประเทศ ครอบคลุมการพัฒนาระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-Office) ไปจนถึงระบบบริการสุขภาพอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.สิทธิวัฒน์ เลิศศิริ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เชิดชัย นพมณีจารัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน และคุณพิยะดา สุดกังวาล ที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งมีคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล คณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์ประชุมและอาคารจอดรถมหิดลสิทธาคาร มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ โดยการนำระบบ e-Office ของ GDCC Cloud มาใช้งาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความปลอดภัยของการบริหารงานภายในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตอบสนองต่อนโยบาย “Go Cloud First” ของรัฐบาล และรองรับการพัฒนาระบบในรูปแบบสองภาษา (ไทย–อังกฤษ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ที่มหาวิทยาลัยจะนำมาใช้นั้นจะช่วยเชื่อมโยงกระบวนการภายในทุกส่วนงานให้อยู่บนแพลตฟอร์มเดียว จึงได้ผนึกกำลังร่วมกับเพื่อดำเนินการใน 2 มิติ
มิติแรก คือ การยกระดับการบริหารจัดการองค์กร ผ่านระบบ e-Office และ GDCC Cloud ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความปลอดภัย พร้อมสนับสนุนการยืนยันตัวตนและลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
มิติที่สอง คือ การขับเคลื่อนโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพและการศึกษา ด้วยการนำเทคโนโลยี Big Data, AI และ Cloud Computing มาสร้างแพลตฟอร์มบริการสุขภาพอัจฉริยะ และระบบเรียนรู้แห่งอนาคต รวมถึงการวางรากฐานด้านความมั่นคงไซเบอร์ โดยการรวมศูนย์ข้อมูล log และยกระดับ Data Governance บน GDCC Cloud เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลทางการแพทย์และการศึกษา”
และอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญ คือ การพัฒนาแพลตฟอร์มสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Health Platform) และระบบการเรียนรู้แห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยี AI และ Big Data ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ขั้นสูง และสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลพร้อมเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านภาครัฐด้วยดิจิทัล พร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง”
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงมุ่งเน้นด้านการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพและการศึกษา เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่สังคมไทยในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มบริการสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Health Platform) เพื่อดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยี Telemedicine และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ควบคู่กับระบบเวชระเบียนกลางบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่สามารถป้องกันการปลอมแปลงและตรวจสอบย้อนหลังได้ อีกทั้งยังมีการพัฒนาศูนย์เฝ้าระวังภัยไซเบอร์แบบเรียลไทม์ (AI-Driven SOC) ที่สามารถรวมศูนย์ log ข้อมูลและตรวจจับความผิดปกติด้านความมั่นคงปลอดภัยบนระบบคลาวด์ของมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีระยะเวลา 3 ปี โดยจะมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ และมหาวิทยาลัยมหิดลจะบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านภาครัฐและภาคการศึกษาสู่การบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแท้จริง ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเป็นสถาบันสุขภาพระดับประเทศที่ให้บริการประชาชนกว่า 7.4 ล้านคนต่อปี พร้อมด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่และความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ได้แสดงความพร้อมในการพัฒนาแพลตฟอร์มต้นแบบที่สามารถขยายผลสู่ระดับชาติได้อย่างยั่งยืน และเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลด้านสุขภาพและการศึกษาของประเทศในอนาคต