วันที่ 19 มีนาคม 2568 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ “Quality for Change คุณภาพเพื่อการเปลี่ยนแปลง แรงขับเคลื่อนที่เห็นผลลัพธ์” ในงานสัมมนาวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 25 ภายใต้แนวคิด “Building Quality and Safety Culture for the Future Sustainability สร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อความยั่งยืนในอนาคต” ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชาการด้านการพัฒนาคุณภาพ ความปลอดภัย และการรับรองคุณภาพระดับประเทศ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม ชั้น 2 อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
โดยการบรรยายได้กล่าวถึงประเด็นปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญในปัจจุบัน อาทิ Aging population and skilled-labor shortage, Wealth inequality and economic polarization, High household debt level, Public debt constraints, Decelerate growth economy, China over-supply concerns และ Geopolitics รวมถึงปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ Disruptive Technology in HealthCare และการดูแลสุขภาพโดยเน้นคุณภาพ (Value Driven Care Mode) โดยปัจจุบันประเทศไทย เป็นประเทศที่มีสังคมผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน เนื่องจากอัตราการเกิดในประเทศไทย ณ ปัจจุบันเริ่มลดน้อยลง อัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงส่งผลกระทบต่อบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของภาครัฐมากขึ้น ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักมากขึ้นและมีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ รวมถึงอุปสรรคที่ตามมาคือ รูปแบบการรักษาที่ทันสมัย อาทิ Gene Therapy, Robotic Surgery หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจเข้าไม่ถึงโรงพยาบาลรอบนอก ทำให้ผู้ป่วยในเขตชุมชนเข้าไม่ถึงการรักษาที่ทันสมัย อีกทั้งต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝุ่น PM2.5 เพื่อไม่ให้กระทบกับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย และปรับปรุงการสร้าง Smart City เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน นอกจากนั้นทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ Fixed Mindset ทำให้เกิดความพัฒนาทางด้านระบบการแพทย์ล่าช้าและเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเริ่มมาจากภายในตัวเรา และเป็นกระบวนการที่ต้องใส่ใจอย่างละเอียด เช่นเดียวกับดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล” รวมทั้งการปรับทัศนคติให้เป็น Growth Mindset เพื่อที่จะสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาตนเองและสร้างเป้าหมายให้เกิดความยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ในการร่วมมือระดับนานาชาติ หรือสามารถใช้ร่วมกับความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้งยังมีการใช้ Growth Mindset ร่วมกับ Value Driven Care Model ซึ่งเป็นโมเดลการดูแลสุขภาพโดยเน้นคุณภาพ ประกอบไปด้วย Design Thinking, Care Redesign, IT Innovation and Robot และ Job Redesign เพื่อให้แนวคิด Value Driven Care Model สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ต้องปรับรูปแบบการทำงานเป็นรูปแบบยืดหยุ่น (Agile Culture) ควบคู่กับการใช้ Growth Mindset ในการทำงาน และสามารถนำไปพัฒนาร่วมกับด้านการแพทย์ให้เกิดสุขภาพสุขสมบูรณ์