น้ำปลาผสมผักสะทอน นวัตกรรมเครื่องปรุงรสเค็มจากภูมิปัญญาไทย

Published: 15 August 2023

‘น้ำปลา’ เป็นเครื่องปรุงรสจากปลาทะเลที่คุ้นเคยและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย

รสชาติเค็มที่ช่วยให้อาหารกลมกล่อม (อูมามิ) อีกทั้งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่หากรับประทานมากเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายของเราอย่างมาก ถึงแม้ว่าเราทราบเรื่องนี้กันเป็นอย่างดี แต่การจะอดใจไม่เหยาะน้ำปลาลงในอาหารสักนิดสักหน่อย…เห็นทีจะอดใจยาก

แล้วในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำปลาล่ะ? เขาใช้อะไรปรุงรสแทนกันนะ

จากการศึกษาค้นคว้าของอาจารย์ ดร.สมโชค กิตติสกุลนาม ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักศึกษา ร่วมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเครื่องปรุงรสเค็มเพื่อสุขภาพ ‘น้ำปลาผสมผักสะทอน’ จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำพืชพื้นบ้านในแถบภาคอีสาน มาหมักจนได้น้ำปรุงรสเค็ม ให้รสชาติอูมามิ สามารถใช้แทนน้ำปลาได้ และมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะในใบสะทอนนั้นมีปริมาณของโปรตีนสูง โซเดียมต่ำ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพอย่างมาก

เตรียมเมนูโปรดมานั่งกินไปอ่านไปพร้อม ๆ กัน รับรองว่าได้ทั้งอร่อยและความรู้อย่างแน่นอน !

Q: น้ำผักสะทอน ภูมิปัญญาเครื่องปรุงรสเค็มแทนน้ำปลา

A: ‘สะทอน’ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบโตในดินร่วนปนทรายบริเวณพื้นที่เชิงเขาใกล้แหล่งน้ำ สามารถทนเค็มได้เป็นอย่างดี พบได้มากในแถบภาคอีสาน ใบอ่อนสามารถนำมารับประทานสดจิ้มกับน้ำพริกได้

เนื่องจากต้นสะทอนเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ของถั่วจึงทำให้มีปริมาณของโปรตีนที่น่าสนใจ ประกอบกับดินในพื้นที่แถบภาคอีสานมีความเค็มจากแร่ธาตุที่หลากหลาย ดังนั้นน้ำที่ได้จากใบสะทอนจึงอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย โปรตีนสูง โซเดียมต่ำ โดยมีปริมาณโซเดียมอยู่ที่ 6 มิลลิกรัมต่อน้ำสะทอน 15 มิลลิลิตร

ข้อมูลที่น่าสนใจจากงานวิจัยพบว่า ‘ผักสะทอน’ มีศักยภาพที่จะสามารถนำมาพัฒนาให้เป็นเครื่องปรุงรสเค็มที่ลดระดับปริมาณโซเดียมได้ซึ่งขณะนั้นเทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนมีวัฒนธรรมการใช้เครื่องปรุงรสที่หลากหลาย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์น้ำปลาโซเดียมต่ำเป็นที่สนใจและเป็นที่ต้องการของตลาด จึงนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ‘น้ำปลาผสมน้ำผักสะทอน’ ขึ้น และได้นำไปแข่งขันในเวทีการประกวดนวัตกรรมระดับปริญญาตรีที่ประเทศมาเลเซีย (Novel Research and Innovation Competition (NRIC) 2019) โดยได้รางวัลเหรียญทองแดงกลับมา

Q: น้ำปลาแท้ – น้ำผักสะทอน – น้ำปลาผสมผักสะทอน

A: ชาวบ้านทำน้ำผักสะทอนโดยเก็บใบอ่อนที่มีอายุ 7-10 วัน ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนของทุกปี นำมาตำหรือโขลกด้วยครกกระเดื่องตามภูมิปัญญาชาวบ้าน จากนั้นนำใบที่ตำเสร็จแล้วไปเติมน้ำแล้วหมักทิ้งไว้ในโอ่ง โดยจะใช้เวลาหมักประมาณ 2 – 3 วัน จนเกิดกระบวนการย่อยโปรตีนและทำให้เกิดรสชาติอร่อยขึ้น หลังจากที่หมักเสร็จแล้วจะได้เป็นน้ำสีเขียว จึงนำมากรองเอากากใบออก แล้วไปเคี่ยวด้วยความร้อนทำให้เข้มข้นขึ้น ก็จะได้เป็นน้ำผักสะทอนออกมา

รสชาติเค็มที่เกิดขึ้นมาจากแร่ธาตุในกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติ แต่ความน่าสนใจมากกว่านั้น คือ ปริมาณโปรตีนที่มีอยู่มากในใบสะทอน เมื่อผ่านกระบวนการย่อยด้วยจุลินทรีย์จะมีลักษณะเป็นโปรตีนสายที่สั้นลง เรียกว่า เปปไทด์ (Peptide) หรือว่ากรดอะมิโน (Amino acid) ซึ่งจะให้รสชาติความอร่อยหรืออูมามินั่นเอง

โดยปกติน้ำปลาจะได้รสชาติเค็มจากเกลือ และความอูมามิจากโปรตีนในปลา ซึ่งในน้ำผักสะทอนจะให้ความรู้สึกและรสชาติแบบเดียวกันทั้งหมดได้

แม้ว่าน้ำปลาและน้ำสะทอนจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่น้ำผักสะทอนจะมีกลิ่นคาวค่อนไปทางน้ำปลาร้ามากกว่าน้ำปลา โดยคุณค่าทางโภชนาการน้ำปลาทั่วไป 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) จะมีปริมาณโซเดียมสูงถึง 1,500 มิลลิกรัม (ปริมาณโซเดียมที่แนะนำคือ 2,000 มิลลิกรัม/วัน)

ผลิตภัณฑ์น้ำปลาผสมผักสะทอนจะมีปริมาณโซเดียมลดต่ำลงถึง 25% ดังนั้น น้ำปลาผักสะทอนจะช่วยให้เวลาเราทานหรือปรุงรสก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น เพราะได้รับปริมาณโซเดียมที่ลดต่ำลงนั่นเอง

Q: น้ำปลาผักสะทอนเหมาะกับใครบ้าง?

A: เหมาะกับทุกคนครับ คนที่ยังสุขภาพดีแนะนำให้รับประทาน เพราะว่าช่วยลดระดับปริมาณโซเดียมที่ได้รับต่อวัน จึงเหมาะกับผู้บริโภคทุกคนในทุกช่วงวัย *ยกเว้น กลุ่มของผู้ป่วยโรคไตที่จะต้องมีการจำกัดปริมาณแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม หรือโซเดียม

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ

‘น้ำปลาผสมผักสะทอน’ คือ การผสมน้ำปลาและน้ำผักสะทอนเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดรสชาติที่ยังคงเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ทำให้ได้รสชาติที่คุ้นเคย และสามารถนำไปใช้ปรุงประกอบอาหารได้เหมือนกับน้ำปลาทั่วไป มีปริมาณโซเดียมลดต่ำลง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น

และอีกผลิตภัณฑ์ คือ ‘น้ำปลาหวาน’ ซึ่งได้รับการต่อยอดจากน้ำปลาผสมผักสะทอน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมลดลง 50% และลดปริมาณน้ำตาลได้ถึง 40% ด้วยปริมาณโซเดียมที่ต่ำ แคลอรีน้อย ทำให้การทานน้ำปลาหวานของคุณจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อร่างกายอีกต่อไป

ติดตามอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ ได้ที่ MUSEF Conference


ขอขอบคุณ

  • อ.ดร. สมโชค กิตติสกุลนาม
    ภาควิชาโภชนวิทยา
    คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Page View: 3,443 times

Related Posts

9 June 2025

มหิดลจัดงาน “Together for Mahidol Campus Sustainability” มุ่งสู่ Net Zero Emission เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน

มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูน เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน
6 June 2025

ฉลองครบรอบ 60 ปี คณะกายภาพบำบัด ม.มหิดล เพื่อสุขภาวะดีอย่างยั่งยืน

มุ่งสร้างสรรค์สังคมสู่ความยั่งยืนด้านสุขภาวะด้วยกายภาพบำบัด
21 May 2025

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ Mahidol Change Agent #1

ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ Mahidol Change Agent จำนวน 57 คน

Featured Article

9 June 2025

มหิดลจัดงาน “Together for Mahidol Campus Sustainability” มุ่งสู่ Net Zero Emission เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน

มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูน เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน
6 June 2025

ฉลองครบรอบ 60 ปี คณะกายภาพบำบัด ม.มหิดล เพื่อสุขภาวะดีอย่างยั่งยืน

มุ่งสร้างสรรค์สังคมสู่ความยั่งยืนด้านสุขภาวะด้วยกายภาพบำบัด
26 May 2025

“Policy Forum: ประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการสันติภาพ”

นำเสนอหลักฐานทางวิชาการอันนำไปสู่การสร้างความกลมเกลียวและการอยู่ร่วมกันโดยสันติในพื้นที่พหุวัฒนธรรมบน

We use cookies to improve performance and good experience using your website. You can study details at Privacy Policy And you can manage privacy setting at Setting Page

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top
Scroll to Top