ชวนฟัง 3 เหตุผลว่าทำไมผู้ป่วยมะเร็งถึงควรเข้าร่วมโครงการ Home Chemotherapy

เผยแพร่แล้ว: 29 กรกฎาคม 2565

หากคุณเป็นผู้ป่วยหรือมีคนรู้จักที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่คุณอาจเคยได้ยินโครงการการบริหารยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำส่วนกลางที่บ้าน หรือ Home Chemotherapy แต่หากคุณเป็นคนทั่วไปชื่อนี้อาจจะแปลกใหม่และสงสัยว่ามันคืออะไร

มารู้จักและทำความเข้าใจโครงการ Home Chemotherapy ไปด้วยกัน กับ อ.นพ.พิชัย จันทร์ศรีวงศ์ สาขามะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งอาจารย์จะมาอธิบายและให้ความรู้ว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยมะเร็ง รวมถึงโรงพยาบาล และภาครัฐอย่างไร

คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น คืนบุคลากรที่มีคุณค่าให้กับสังคม

Q : ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากโครงการนี้

A : เราเก็บข้อมูลแล้วพบว่าคุณภาพชีวิตด้านสังคมของคนไข้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แตกต่างจากคนไข้กลุ่มที่นอนโรงพยาบาลจริงๆ จากการสอบถามประสบการณ์ชีวิตของคนไข้ที่มานอนโรงพยาบาลกับคนคนไข้ที่อยู่ที่บ้าน ก็มีแตกต่างกันแล้ว ขนาดของถุงน้ำเกลือก็ต่างกัน ถ้ารักษาในโรงพยาบาลก็ต้องให้น้ำเกลือ ซึ่งถุงน้ำเกลือที่เราเห็นทั่วไปประมาณ 1000 มล. เวลาจะเดินเข้าห้องน้ำก็จะรู้สึกลําบาก

แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาเป็นให้เคมีบําบัดที่บ้าน ก็จะใช้เพียงแค่ถุงยาขนาด 100 มล. คนไข้นำถุงยาคาดเอว คาดหน้าอกได้ เรามีกระเป๋าให้ สามารถใส่เดินออกไปใช้ชีวิตปกติได้เลย ไปชอปปิง ไปกินอาหารได้ตามปกติ อยู่กับครอบครัวได้ คนไข้ที่ยังทํางานได้ก็สามารถจะไปทํางานได้ปกติ เรามีคนไข้หลายอาชีพเลย ไม่ว่าจะเป็นกุ๊ก เป็นอาจารย์ เป็นไรเดอร์ส่งอาหารขณะที่ให้เคมีบําบัดก็ทํามาแล้ว ซึ่งก็ปลอดภัยไม่มียาหลุดรั่ว ไม่มีเลือดออกในขณะที่ไปทํางาน เป็นการคืนบุคลากรที่ยังมีคุณค่าให้กับสังคม

นอกจากนี้คนไข้ก็สบายใจที่ได้อยู่กับครอบครัวในสิ่งแวดล้อมที่เขาคุ้นเคย อย่างที่บอกว่าพอคนไข้มานอนโรงพยาบาลอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมก็ไม่รู้จะทําอะไร ก็อาจทำให้เริ่มมีความวิตกกังวลมากขึ้น แต่พอได้กลับไปอยู่กับครอบครัว มีคนดูแลใกล้ชิดก็จะรู้สึกดีขึ้น บางคนแค่เปลี่ยนสถานที่นอนก็นอนไม่หลับแล้ว ถ้าให้เคมีบำบัดที่บ้านเขาก็ได้หลับสบายอยู่ที่บ้าน

ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย โรงพยาบาล หรือ ภาครัฐ

Q : โรงพยาบาลรามาธิบดีเล็งเห็นปัญหาอะไรถึงได้จัดตั้งโครงการนี้ขึ้นมา

A : จากข้อมูลพบว่าจํานวนคนไข้โรคมะเร็งลําไส้ใหญ่แล้วก็โรคมะเร็งอื่นๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมะเร็งลําไส้ใหญ่ก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1

เราพบว่าคนไข้มีประมาณ 20,000 รายที่เป็นคนไข้รายใหม่ของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในโรงพยาบาลรามาธิบดีเองเราพบว่ามีคนไข้อยู่ประมาณ 400-500 รายที่เป็นคนไข้รายใหม่ ซึ่งจากข้อมูลเราพบว่าเป็นคนไข้ ระยะที่ 3 – ระยะที่ 4 ซึ่งเราเรียกได้ว่าระยะลุกลาม กลุ่มนี้ต้องได้รับเคมีบำบัดแบบนอนโรงพยาบาล

ในอดีตคนไข้ต้องเสียเวลานอนที่โรงพยาบาล 3 วัน นับเป็น 1 รอบของการรักษา จากนั้นจะเว้นไป 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์แล้วจึงวนรอบใหม่ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการได้รับเคมีบำบัดล่าช้า

ในปี 2558 เราเก็บข้อมูลได้ว่า 30% ของคนไข้มีการล่าช้ามากกว่า 7 วัน จึงนํามาสู่การริเริ่มโครงการว่า ถ้าเราให้เคมีบําบัดที่บ้านได้ก็จะดีกว่า ซึ่งเราเก็บข้อมูลแล้วพบว่าเมื่อมีการให้เคมีบำบัดที่บ้าน คนไข้ได้รับยาตรงรอบเกือบ 100%

นอกจากนี้พอเราพัฒนาไป เก็บข้อมูลไป พบว่าในปัจจุบันมีคนไข้มากกว่า 780 ราย ที่อยู่ในโครงการ ถ้าคิดเป็นวันนอนก็คือประมาณ 20,800 วันนอน มีจํานวนรอบประมาณ 9,000 รอบ ที่มารับเคมีบําบัด

เรื่องค่าใช้จ่ายก็พบว่าประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่นอนโรงพยาบาล ประหยัดไปได้ประมาณ 15,000 บาทต่อคน พอเราคำนวณออกมาจากโครงการทั้งหมด ก็เป็นเงินประมาณ 40,000,000 บาท ที่เราประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย โรงพยาบาล หรือ ภาครัฐ

ปลอดภัย มั่นใจได้ และ เข้าถึงได้ง่ายด้วยการผลักดันให้เป็นนโยบายของ สปสช.

Q : ในมุมของคนไข้ อาจจะมีความกังวลใจว่า พอเราต้องบําบัดรักษาเองที่บ้านอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นหรือเปล่า? แล้วจะต้องรับมืออย่างไร?

A : เรื่องนี้เป็นสิ่งใหม่สําหรับสังคมไทยอย่างหนึ่ง เราเลยคิดว่าจะเน้นที่ความปลอดภัยของผู้ป่วย และการสร้างความมั่นใจเป็นหลัก แล้วก็ปรับเปลี่ยนการให้บริการ มีทั้งการอบรมให้ความรู้ การทวนสอบความรู้ การติดตามแบบเชิงรุก นอกจากนี้ก็มีการสร้างทีมเพื่อนช่วยเพื่อน คือคนไข้ที่ผ่านการให้เคมีบำบัดที่บ้านไปแล้วเขาก็รู้สึกดีกับโครงการ เราก็จะชวนมาให้ความรู้กับคนไข้คนอื่นๆ เพื่อนช่วยเพื่อนเป็นสิ่งสําคัญเลย เพราะว่าจริง ๆ คนไข้จะเชื่อผู้ป่วยที่มีประสบการณ์ผ่านมาแล้วมากกว่าหมอหรือพยาบาลด้วยซ้ำ

Q : โครงการ Home Chemotherapy มีการผลักดันไปเป็นนโยบายได้อย่างไรบ้าง?

A : ในปี 2563 เรานําเสนอโครงการกับทาง สปสช. ให้อยู่ในสิทธิประโยชน์ของโครงการ สปสช. อันนี้ก็เป็นการขยายสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยให้เข้าถึงตัวโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเคมีบําบัดที่มากขึ้น การใส่พอร์ต หรือการใส่ตัวอุปกรณ์ที่ให้ยา ตัวอุปกรณ์ถุงยา ที่เราบอกว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น ก็มีการอนุมัติด้วย

ในอนาคตเราจะขยายไปที่สิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น ประกันสังคม แล้วก็ฝั่งข้าราชการ ขยายไปที่โรงพยาบาลในระดับภูมิภาค เพราะเราคิดว่าตัวเคมีบําบัดแบบให้ที่บ้าน ถ้าคนไข้อยู่ไกลๆ โดยไม่ต้องเข้ามาที่กรุงเทพฯ น่าจะเป็นสิ่งที่ดี

ติดตามอัปเดตความรู้ใหม่ๆ ได้ที่ MUSEF Conference


ขอขอบคุณ

  • อ.นพ. พิชัย จันทร์ศรีวงศ์
    สาขามะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ภญ. ปถมาภรณ์ ตั้งธีระคุณ
    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
    มหาวิทยาลัยมหิดล
  • พว. นพกาญจน์ วรรณการโสภณ
    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
    มหาวิทยาลัยมหิดล

จำนวนผู้เข้าชม: 1,281 ครั้ง

Related Posts

9 มิถุนายน 2568

มหิดลจัดงาน “Together for Mahidol Campus Sustainability” มุ่งสู่ Net Zero Emission เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน

มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูน เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน

Featured Article

9 มิถุนายน 2568

มหิดลจัดงาน “Together for Mahidol Campus Sustainability” มุ่งสู่ Net Zero Emission เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน

มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูน เดินหน้านำสู่ความยั่งยืน
26 พฤษภาคม 2568

“Policy Forum: ประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการสันติภาพ”

นำเสนอหลักฐานทางวิชาการอันนำไปสู่การสร้างความกลมเกลียวและการอยู่ร่วมกันโดยสันติในพื้นที่พหุวัฒนธรรมบน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า
Scroll to Top
Scroll to Top