![]() |
ทรงยกพระธรรมวินัยไตรปิฎกเป็นศาสดา
พระทานปัจฉิมโอวาทแล้วปรินิพพาน
ก่อนจะเสด็จนิพพานเล็กน้อย คือภายหลังทรงโปรดสุภัททะปริพาชกแล้ว |
พระพุทธเจ้าตรัสประทานโอวาทพระสงฆ์ โอวาทนั้นเป็นพระพุทธดำรัสสั่ง |
เป็นครั้งสุดท้าย มีหลายเรื่องด้วยกัน เช่น เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์ยังใช้ |
ถ้อยคำเรียกขานกันลักลั่นอยู่ คือ คำว่า 'อาวุโส' และ 'ภันเต' อาวุโสตรงกับ |
ภาษไทยว่า 'คุณ' และภันเตว่า 'ท่าน' |
พระพุทธเจ้าตรัสสั่งว่า พระที่มีอายุพรรษามากให้เรียกพระบวชภายหลังตน |
หรือที่อ่อนอายุพรรษกว่า 'อาวุโส' หรือ 'คุณ' ส่วนพระภิกษุที่อ่อนอายุ |
พรรษา พึงเรียกพระที่แก่อายุพรรษากว่าตนว่า 'ภันเต' หรือ 'ท่าน' |
ครั้นแล้วทรงเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ทั้งปวงทูลถาม ว่าท่านผู้ใดสงสัยอะไรใน |
เรื่องที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้แล้วก็ให้ถามเสียจะได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่า |
ไม่มีโอกาสถาม |
ปรากฏตามท้องเรื่องในมหาปรินิพพานสูตรว่า ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถาม |
พระพุทธเจ้าในข้อสงสัยที่ตนมีอยู่เลย |
เมื่อก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตั้งพระสาวก |
องค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองพระสงฆ์สืบต่อจากพระองค์ |
เหมือนพระศาสดาในศาสนาอื่น เรื่องนี้ก็ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถามพระ |
พุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งพระสงฆ์ไว้ชัดเจนก่อนจะนิพพานว่า พระ |
ภิกษุรูปใดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อพระองค์นิพพานแล้ว ศาสนาพุทธหรือคำ |
สั่งสอนของพระองค์จักไร้พระศาสดา |
ตรัสบอกพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และ |
บัญญัติไว้ด้วยดีนั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต |
เมื่อเราล่วงไปแล้ว" |
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า "ภิกษุทั้งหลาย! |
บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อม |
สลายเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์แก่ตนและคน |
อื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" |
หลังจากนั้นไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย จนกระทั่งนิพพานในเวลาสุดท้ายของคืน |
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญวิสาขะ ณ ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่ที่ออก |
ดอกบานสะพรั่งเป็นพุทธบูชานั่นเอง |
Copyright © 2002 Mahidol
University All rights reserved. |