![]() |
ทรงมอบสมบัติพระนิพานแก่พระราหุล
โดยให้บรรพชาเป็นสามเณรองค์แรก
เมื่อราหุลติดตามพระพุทธเจ้าไปถึงโครธาราม เพื่อทูลขอรัชทายาทและ |
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า |
สิ่งที่ราหุลทูลขอนั้นเป็นสมบัติทางโลกไม่ยั่งยืน เต็มได้วยความทุกข์ในการ |
ปกปักรักษา ไม่เหมือนอริยทรัพย์ คือ ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา ทรงพระ |
พุทธดำริว่า "จำเราจะให้ทายาทแห่งโลกุตตระแก่ราหุล" |
พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกพระสารีบุตรมา แล้วรับสั่งให้พระสารีบุตรเป็นพระ |
อุปัชฌาย์ทำหน้าที่บวชสามเณรให้ราหุล ราหุลจึงเป็นสามเณรองค์แรกใน |
ทางพระพุทธศาสนา เมื่ออายุครบบวช ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุและได้ |
สำเร็จอรหันต์ |
เมื่อคราวนันทะซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาหมงคง แต่ยังไม่ทันเข้าพิธี เพราะถูก |
พระพุทธเจ้าจับบวชเสียก่อนนั้น พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ทรงทราบข่าว |
แล้วเสียพระทัยมาก แต่ก็ไม่สู้กระไรนักเพราะยังทรงเห็นว่าราหุลกุมารรัช |
ทายาทองค์ต่อไปมีอยู่ แต่ครั้นทรงทราบว่าราหุลกุมารได้บวชเป็นสามเณร |
เสียแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะทรงเสียพระทัยมากยิ่งกว่าเมื่อคราวพระพุทธเจ้า |
เสด็จออกบวช และเมื่อนันทะบวช |
พระเจ้าสุทโธทนะไม่อาจทรงระงับความทุกข์โทมนัสครั้งนี้ได้ จึงเสด็จไปเฝ้า |
พระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม แล้วทูลขอร้องพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระคุณเจ้ารูป |
ใดจะบวชลูกหลานชาวบ้าน ก็ได้โปรดให้พ่อแม่เขาได้อนุญาตให้ก่อน เพราะ |
ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำความเดือนร้อนให้แก่ผู้เป็นพ่อแม่มาก ดุจที่พระองค์ได้ |
รับ เมื่อราหุลบวชในคราวนี้ |
พระพุทธเจ้าทรงรับตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอร้อง จึงทรงบัญญัติพระ |
วินัยไว้เป็นธรรมเนียมสืบมาจนทุกวันนี้ว่า ถ้าใครจะบวช ไม่ว่าจะบวชเป็น |
พระ หรือบวชเป็นสามเณร ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครองก่อน |
ธรรมเนียมกุลบุตรผู้จะบวชที่ถือพานดอกไม้เที่ยวกราบลาพ่อแม่ผู้ปกครอง |
ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทุกวันนี้จึงเกิดจากกรณีดังกล่าวนี้ |
Copyright © 2002 Mahidol
University All rights reserved. |