![]() |
เสด็จไปศึกษาลัทธิฤาษีชีป่ากับอาฬารดาบส
เห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้ก็ทรงหลีกไป
ในสมัยที่กล่าวนี้ แคว้นมคธมีนักบวชที่ตั้งตนเป็นคณาจารย์ต่าง ๆ ที่มีชื่อ |
เสียงมากคณะด้วยกันแต่ละคณะต่างก็มีศิษยสาวกและมีคนนับถือมาก กรุง |
ราชคฤห์ก็เป็นที่สัญจรจาริกผ่านไปมาของเจ้าลัทธิต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ลัทธิ |
ของตนให้คนเลื่อมใส |
คณะจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ตอนเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช ซึ่งอยู่ |
ในแคว้นนี้มีสองคณะด้วยกันคือ คณะอาฬารดาบสกาลามโคตร และคณะ |
อุทกดาบสรามบุตร ทั้งสองคณะนี้ตั้งอาศรมสอนศิษย์อยู่ในป่านอกเมือง |
พระมาหาบุรุษจึงเสด็จไปยังที่นี่ เพื่อทรงศึกษาเล่าเรียนและทดลองดูว่าจะ |
เป็นทางตรัสรู้หรือไม่เสด็จไปทรงศึกษาที่สำนักแรกก่อน ทรงศึกษาจนสิ้น |
ความรู้ของท่านคณาจารย์เจ้าสำนักแล้ว ทรงเห็นว่ายังมิใช่ทางตรัสรู้ จึง |
เสด็จไปทรงศึกษาในสำนักคณาจารย์ที่สอง ทรงได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นนิด |
หน่อย แต่ก็ได้เพียงสมาบัติแปด |
'สมาบัติ' หมายถึง ฌาณ คือวิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ มีตั้งแต่อย่างหยาบขึ้น |
ไปจนถึงละเอียดที่สุดทั้งหมดมีแปดขั้นด้วยกันทรงเห็นว่าจิตใจในระดับนี้ยัง |
อยู่ในชั้นของโลกีย์ ปุถุชนสามารถมีได้แต่มีแล้วยังเสื่อมได้ ยังไม่ใช่โลกุตตะ |
คือทางหลุดพ้น |
ท่านคณาจารย์ทั้งสองสำนักชวนพระมหาบุรุษให้อยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยสั่งสอน |
ศิษย์สาวกต่อไป ทั้งสองท่านสรรเสริญพระมหาบุรุษว่าทรงมีความรู้ยอด |
เยี่ยมเทียมกับตน แต่พระมหาบุรุษทรงปฏิเสธคำเชิญชวนนั้นเสีย |
เมื่อทรงทดลองลัทธิของคณาจารย์ที่มหาชนยกย่องนับถือว่ามีความรู้สูงสุด |
แต่ทรงเห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้ได้ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์แล้ว พระ |
มหาบุรุษจึงทรงดำริจะลองทดลองสิ่งที่นักบวชนักพรตจำนวนมากสมัยนั้น |
นิยมปฏิบัติกัน ว่าจะเป็นทางตรัสรู้หรือไม่ ทางนั้นก็คือทุกกรกิริยาที่หมายถึง |
การบำเพ็ญเพียรที่เข้มงวด เกินที่วิสัยสามัญมนุษย์จะทำได้ ที่คนทั่วไปเรียก |
ว่าทรมานตนให้ได้รับความลำบากนั่นเอง |
Copyright © 2002 Mahidol
University All rights reserved. |